บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับไวยากรณ์ของสูตรและการใช้ฟังก์ชัน DAYS ใน Microsoft Excel สําหรับข้อมูลเกี่ยวกับฟังก์ชัน DAY ให้ดูที่ ฟังก์ชัน DAY
คำอธิบาย
ส่งกลับจำนวนวันระหว่างวันที่สองวันที่
ไวยากรณ์
DAYS(end_date, start_date)
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน DAYS มีอาร์กิวเมนต์ดังนี้
-
End_date จำเป็น Start_date และ End_date คือวันที่สองวันที่ที่คุณต้องการทราบจํานวนวัน
-
Start_dateต้องระบุ Start_date และ End_date คือวันที่สองวันที่ที่คุณต้องการทราบจํานวนวัน
: Excel จะเก็บวันที่เป็นเลขลําดับต่อเนื่องเพื่อให้สามารถใช้ในการคํานวณได้ ตามค่าเริ่มต้น 1 ม.ค. 1900 จะเป็นเลขลําดับ 1 และ 1 มกราคม 2551 เป็นเลขลําดับ 39448 เนื่องจากเป็น 39447 วันหลังจากวันที่ 1 มกราคม 1900
ข้อสังเกต
-
ถ้าอาร์กิวเมนต์วันที่ทั้งสองเป็นตัวเลข แล้ว DAYS จะใช้ EndDate และ StartDate คำนวณจำนวนวันระหว่างวันที่ทั้งสอง
-
ถ้าอาร์กิวเมนต์วันที่อันใดอันหนึ่งเป็นข้อความ อาร์กิวเมนต์นั้นจะถือเป็น DATEVALUE(date_text) และจะส่งกลับวันที่จำนวนเต็มแทนคอมโพเนนต์เวลา
-
ถ้าอาร์กิวเมนต์วันที่เป็นค่าตัวเลขที่อยู่นอกช่วงของวันที่ที่ถูกต้อง DAYS จะส่งกลับ #NUM! เป็นค่าความผิดพลาด
-
ถ้าอาร์กิวเมนต์วันที่เป็นสตริงที่ไม่สามารถแยกวิเคราะห์ให้เป็นวันที่ที่ถูกต้องได้ DAYS จะส่งกลับ #VALUE! เป็นค่าความผิดพลาด
ตัวอย่าง
คัดลอกข้อมูลตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ และวางในเซลล์ A1 ของเวิร์กชีต Excel ใหม่ สำหรับสูตรที่จะแสดงผลลัพธ์ ให้เลือกสูตร กด F2 แล้วกด Enter ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถปรับความกว้างของคอลัมน์เพื่อดูข้อมูลทั้งหมดได้
ข้อมูล |
||
---|---|---|
วันที่ 31 ธ.ค. 2564 |
||
1-ม.ค.-2564 |
||
สูตร |
คำอธิบาย |
ผลลัพธ์ |
=DAYS("15-MAR-2021","1-ก.พ.-2021") |
ค้นหาจํานวนวันระหว่างวันที่สิ้นสุด (15-MAR-2021) และวันที่เริ่มต้น (1-ก.พ.-2021) เมื่อคุณใส่วันที่ในฟังก์ชันโดยตรง คุณต้องใส่วันที่นั้นไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ ผลลัพธ์คือ 42 |
42 |
=DAYS(A2,A3) |
ค้นหาจำนวนวันระหว่างวันที่สิ้นสุดใน A2 และวันที่เริ่มต้นใน A3 (364) |
364 |